พรหมชาลสูตร คือ พรหมชาลสูตร เป็นพระสูตรแรกในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ ณ พระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทา พรหมชาล หมายถึง "ข่ายอันประเสริฐ" หรือ "ข่ายที่ครอบคลุม" ซึ่งในบริบทนี้หมายถึง ข่ายแห่งศีลและทิฏฐิ (ความเห็น) ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำสอนของพระองค์กับลัทธิต่างๆ ในสมัยนั้น พรหมชาลสูตรแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ - จุลศีล (ศีลอย่างเล็กน้อย) กล่าวถึงศีลพื้นฐานที่พระภิกษุควรปฏิบัติ เพื่อละเว้นจากความประพฤติที่ไม่สมควรทางกายและวาจา เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด เป็นต้น
- มัชฌิมศีล (ศีลอย่างกลาง) กล่าวถึงศีลที่ละเอียดขึ้นไปอีก เกี่ยวข้องกับการละเว้นจากอาชีพที่ไม่สมควร การบริโภคอาหารและการใช้สอยสิ่งของอย่างไม่เหมาะสม การแสดงฤทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง และการประกอบพิธีต่างๆ ที่ไร้ประโยชน์
- มหาศีล (ศีลอย่างใหญ่) กล่าวถึงการละเว้นจากทิฏฐิ (ความเห็น) ผิดต่างๆ ที่นักบวชและพราหมณ์ในสมัยนั้นยึดถือ รวมทั้งสิ้น 62 ทิฏฐิ ซึ่งครอบคลุมความเห็นเกี่ยวกับอดีต อนาคต และปัจจุบัน เช่น ทิฏฐิว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง มีที่สุดหรือไม่มีที่สุด ชีพกับกายเป็นอันเดียวกันหรือไม่ เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นความไม่เที่ยง ความขัดแย้ง และความไร้ประโยชน์ของทิฏฐิเหล่านั้น
คติธรรม คติธรรมสำคัญที่ได้จากพรหมชาลสูตร คือ - ความสำคัญของศีล การมีศีลเป็นพื้นฐานสำคัญของการปฏิบัติธรรม เป็นการสร้างระเบียบวินัยและขัดเกลากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์
- การพิจารณาทิฏฐิ สอนให้พิจารณาความเห็นต่างๆ ด้วยปัญญา ไม่ให้ยึดมั่นในทิฏฐิใดๆ โดยปราศจากการไตร่ตรอง เพราะทิฏฐิที่ผิดนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความทุกข์
- ทางสายกลาง พระสูตรนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคำสอนของพระพุทธเจ้ากับลัทธิต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักมีแนวโน้มไปในทางสุดโต่ง พระพุทธเจ้าทรงสอนทางสายกลาง คือ การไม่ยึดมั่นในสองขั้วสุดโต่ง
- การไม่ยึดติด การทำความเข้าใจเรื่องทิฏฐิ 62 ประการ ช่วยให้เห็นความหลากหลายของความคิด และไม่ให้ยึดติดอยู่กับความเห็นใดความเห็นหนึ่งเพียงอย่างเดียว
สรุป พรหมชาลสูตรเป็นพระสูตรสำคัญที่แสดงถึงความสมบูรณ์แห่งศีลของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา และชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคำสอนของพระพุทธเจ้ากับทิฏฐิต่างๆ ในสมัยนั้น พระสูตรนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีศีลเป็นพื้นฐาน และการใช้ปัญญาพิจารณาทิฏฐิ เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องและความหลุดพ้นจากความทุกข์
|