เนื้อเรื่องย่อเป็นภาษาบาลีที่ขึ้นต้นในกัณฑ์แต่ละกัณฑ์ของมหาเวสสันดรชาดก เรียก จุณณียบท จุณณียบทในกัณฑ์กุมาร กล่าวถึงชูชกเดินทางมาถึงเขาวงกตตามที่พระฤาษีอัจจุตตะชี้ทาง ชูชกเดินทางถึงสระบัวในเวลาใกล้ค่ำ พระฤาษีอัจจุตตะนี้ ในชาติต่อมาคือพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า และได้รับยกย่องเป็น เอกทัคคะทางปัญญา (ปัญญาเป็นเลิศ) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีข้อความในเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมารที่ควรให้ความสนใจอยู่หลายเรื่อง ที่จะหยิบยกมาให้ดูนี้ ที่ผูจัดทำได้รวบรวมมาจากเอกสารการอบรม และรวบรวมเพิ่มเติมประกอบความเข้าใจยิ่งขึ้น ดังนี้ ๑. บัณฑุกัมพล คำว่า บัณฑุ แปลว่า สีเหลืองอ่อน, สีนวล + กัมพล แปลว่า ผ้าขนสัตว์ = แท่นหินอันอ่อนนุ่มราวปูลาดด้วยขนสัตว์ บัณฑุกัมพล เป็นชื่อแท่นของพระอินทร์อยู่ใต้ต้นปาริชาติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นแท่นแก้วสีแดงเข้มราวกับดอกสะเอ้ง(ดอกชบา) แผ่นศิลานี้อ่อนดังหงอนราชหงศ์ทอง เมื่อพระอินทร์นั่งจะยุบลงไปถึงสะดือ พอลุกขึ้นก็จะเต็มดังเดิมเหมือนแท่นสปริง ถ้ามีเหตุเภทภัยในโลก แท่นนี้จะแข็งกระด้าง พระอินทร์ก็จะลงไปช่วยต้นปาริชาติเป็นไม้ทองหลาง เรียกชื่อว่า ปาริชาติกัลปพฤกษ์ (ที่จริงต้นปาริชาตกับกัลปพฤกษ์คนละอย่างกันต้นปาริชาตในเรื่องกามนิตนั้นได้กลิ่นแล้วระลึกชาติได้ ส่วนกัลปพฤกษ์มีอยู่ในอุตรกุรุทวีปเป็นต้นไม้สารพัดนึก ใครนึกอะไรได้อย่างนั้น) ๒. อนึ่งคำโบราณท่านย่อมว่า ช้า ๆ จะได้พร้าสองเล่มงาม สำนวนนี้เป็นสำนวนของช่างตีเหล็กในสมัยสุโขทัย ๓. นุ่งผ้าย้อมฝาดคาดกาสาว์สัก กระสันพันเป็นเกลียวเหนี่ยวเหน็บรั้ง ผืนหนึ่งคาดพุงนุงนังจั้งมั่งทะมัดทะแมง ทัดดอกไม้แดงทั้งสองหูดูสง่า มีหัตถ์เบื้องขวานั้นถือดาบ ข้อความนี้บรรยายลักษณะของบุรุษในความฝันของพระนางมัทรี ดอกไม้แดงในที่นี้ คือดอกยี่โถแดง = กรวรี เป็นดอกไม้ที่เพชรฆาตใช้ทัดหู ๔. ในเรื่องตอนที่กล่าวถึงพระนางมัทรีทรงพระสุบินว่าเป็น ปัจจุสมัยเวลา ซึ่งเป็นเวลาใกล้รุ่ง คนโบราณได้กล่าวถึงความฝันของคนเราว่ามี ๔ ประเภท ตามช่วงเวลากลางคืน คือ ๑. ฝันช่วงเวลา ๑๘.๐๐ น. - ๒๑.๐๐ น. เรียกว่า ธาตุโขภ คือธาตุในร่างกายทำงานผิดปรกติ เช่น กินอิ่มเกินไป หรือหิวเกินไป ๒. ฝันช่วงเวลา ๒๑.๐๑ น. - ๒๔.๐๐ น. เรียกว่า บุพนิมิต คือความฝันซึ่งเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า ๓. ฝันช่วงเวลา ๒๔.๐๑. - ๐๓.๐๐ น. เรียกว่า จิตนิวรณ์ คือจิตผูกพันอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเก็บเอาไปฝัน ๔. ฝันช่วงเวลา ๐๓.๐๑ น. - ๐๖.๐๐ น. เรียกว่า เทพสังหรณ์ ถือว่าเป็นความฝันที่เทวดาดลใจ ส่วนคำว่า ปัจฉิมยาม ก็หมายถึงช่วงเวลาใกล้รุ่ง คนโบราณแบ่งช่วงเวลายามราตรีออกเป็น ๓ ช่วง โดยเริ่มตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน เริ่มเวลา ๐๖.๐๐ น. เป็นเวลาเริ่มต้น ดังนี้ ปฐมยาม - ยามต้น มัชฌิมยาม - ยามกลาง ปัจฉิมยาม ยามปลาย ๕. บรรทมเหนือใบไม้ลาดล้วนละอองทราย เทพเจ้าย่อมยักย้ายซึ่งราศี ธาตุทั้งสี่จึงวิปริต ข้อความดังกล่าวเป็นตอนที่พระเวสสันดรทรงทำนายฝันให้พระนางมัทรี ข้อความที่พิมพ์ตัวเข้มแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนโบราณว่า คนเราทุกคนจะมีเทวดารักษาอยู่คนละ ๑ องค์ ตอนเช้าอยู่ที่หน้า คนเราจึงต้องล้างหน้าในตอนเช้า ตอนเที่ยงอยู่ที่หน้าอกจึงต้องอาบน้ำประพรมน้ำหอม ตอนเย็นอยู่ที่เท้า จึงต้องล้างเท้าก่อนนอน พระเวสสันดรทรงทำนายฝันของพระนางมัทรีว่าเป็นฝันที่เชื่อไม่ได้ เพราะร่างกายไม่สะอา ๖. สัมโมทนียนัยกถาธรรมสวัสดิ์ คำศัพท์นี้ยาวมาก ถ้าจะแยกความหมายก็จะได้ว่า สัม = พร้อม + โมทนีย = เป็นที่ยินดี + นัย = ความ, ความหมาย, แนวทาง + กถา = ถ้อยคำ, ข้อความ + ธรรม = ดีงาม + สวัสดิ์ = กฏเกณฑ์, ระเบียบ, ข้อบังคับ รวมความแล้วหมายความว่าระเบียบอันดีงามว่าด้วยการกล่าวทักทายด้วยถ้อยคำอันเป็นที่น่ายินดี ๗. เฒ่าก็พูดหว่านล้อมด้วยคำยอ ยกเอาแม่น้ำทั้งห้าเข้ามาล่อ อุปมาถวายเสียก่อน ข้อความดังกล่าวเป็นสำนวน ที่ชูชกใช้วิธีการขอสองกุมารจากพระเวสสันดรโดยการอ้างถึงคุณประโยชน์ของแม่น้ำทั้งห้าสายของอินเดียซึ่งไหลมาจากอากาศคงคา เปรียบเทียบกับน้ำพระทัยของพระเวสันดร เป็นการพูดเพื่อให้พระเวสสัดรเกิดความพอพระทัย แล้วจึงทูลขอสองกุมารจากพระเวสสันด ๘. ครั้นได้ฤดูเดือนมรสุมแล้วก็แซ่ซ้อง เดือนมรสุม หมายถึงเดือนที่ลมมรสุมพัดผ่าน ลมมรสุมมี ๒ ประเภท คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ สมัยก่อนชาวจีนใช้เรือสำเภาแล่นไปมาค้าขายระหว่างประเทศไทย-จีน ซึ่งต้องอาศัยลมนี้กางใบแล่นเรือ ๙. อับเฉากันโคลงประจุเรียบ สำเภานี่ก็พาบเพียบเพียงราโท อับเฉา หมายถึงของหนัก ๆ ที่ใช้ถ่วงท้องเรือ เช่น ก้อนหิน กระสอบทราย ชาวจีนนิยมใช้หินทรายสีเขียวมรกตแกะสลักเป็นตุ๊กตาใหญ่เล็กมากมาย บรรทุกถ่วงท้องเรือมาแจกจ่ายตามวัดและบ้านขุนนางไทย ขากลับบรรทุกสินค้าไปกลับไปขายที่เมืองจีน ๑๐. ข้อความตอนที่พระเวสสันดรเรียกกัณหาชาลีขึ้นจากสะบัว ในการเทศน์มหาชาติ มีการแหล่โดยมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า แหล่ตะเภาทอง คำว่า ตะเภา คือ สำเภา พระเวสสันดรทรงกล่าวถึงเรือสำเภา ๒ ชนิดเปรียบเทียบให้กัณหากับชาลีฟังว่า โลกุตรนาวา หมายถึงเรือของชาวโลก อาจแตกหักทำลายได้ง่ายเพราะไม่มีความมั่นคง โลกิยนาวา เรือของคนเหนือโลก เป็นเรือที่จะขนส่งมนุษย์ไปถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน ๑๑. ดั่งว่าใครมายุแยงแกล้งผัดพานเดือดทะยานอยู่ฮักฮึก ข้อความนี้กล่าวเปรียบเทียบกริยาของพญาคชสารชาติฉัททันต์ ซึ่งมีอาการตกมันเนื่องจากถูกล่อให้โกรธด้วยม้าผัดพานเป็นกีฬาโบราณชนิดหนึ่ง คือการขี่ช้างล่อม้าที่กำลังตกมัน ส่วนคำว่า ฉัททันต์ เป็นชื่อช้างตระกูลหนึ่งใน ๑๐ ตระกูล เรียกว่า ฉัททันตหัตถี กายสีขาวบริสุทธิ์ดังเงินยวง แต่ปากและเท้าสีแดง ๑๒. ทั้งพญาพาฬมฤคราชเสือโคร่งคระครางครึ้ม
พญาพาฬมฤคราช เป็นศัพท์แปลสองชั้น พาฬ = ดุร้าย + มฤค = กวาง + ราช = พญา แปลว่า พญากวางร้าย แปลชั้นที่สอง แปลว่า เสือโคร่ง หรือเสือเหลือง ๑๓. แก้วเก้าเนาวรัตน์แสนสัตตรัตน์เรืองรองซร้องสาธุการอยู่อึงมี่ เนาวรัตน์ หมายถึง แก้วเก้าประการ เพชรน้ำดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสด บุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย สัตตรัตน์ หมายถึงแก้ว 7ประการ คือ สุวรรณ (ทอง), หิรัญ (เงิน), มุกดาหาร, วิเชียร(เพชร), มณี, ไพฑูรย์, ประพาฬ หรืออาจหมายถึง ความเป็นจักรพรรดิ หรือ พระราชาจากการมีของดีเลิศ 7 อย่าง คือ ๑. จักกรัตนะ = จักรแก้ว สามารถนำสมบัติที่พระราชาพึงประสงค์มาถวายได้ หัตถีรัตนะ = ช้างแก้ว สามารถไปในสถานที่ต่าง ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว อัสสรัตนะ = ม้าแก้ว สามารถช่นเดียวกับช้งแก้ว มณีรัตนะ = แก้วมณี สามารถให้แสงสว่างในที่มืดได้กว้างไกล อิตถีรัตนะ = นางแก้ว มีรูปร่างไม่ดำไม่ขาว ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่เตี้ยไม่สูงจน เกินไป มีหน้าที่บำเรอน้ำพระทัยของพระมหาจักรพรรดิ์ คหปติรัตนะ = ขุนคลังแก้ว มีสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติอย่างสูง ปริณายกรัตนะ = สามารถในการรบ การปกครอง อย่างสูง ส่วนรัตนะในชาดก หมายถึง คุณธรรม คุณค่าและความดีที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่การบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ นั่นเอง ๑๔. อันว่าภาคพื้นพระธรณีอันหนาแน่นได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ เสียงอุโฆษครื้นครั่นดั่งไฟบรรลัยกัลป์จะผลาญโลกให้ทำลายวายวินาศ สองแสนสี่หมื่นโยชน์ เป็นตัวเลข หมายถึงความลึกของแผ่นดิน คนโบราณเชื่อว่า แผ่นดินโลกมีความลึกหรือหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ๑๕. แต่ก่อนโสดค่าสินไถ่สืบมาถึงสี่ชั่ว ผู้อื่นรู้ก็เกรงกลัวไม่ทำได้เหมือนชายผู้นี้ โสด แปลว่า แต่ก่อน ค่าสินไถ่ คือ ประเภทของทาสชนิดหนึ่ง ในกฏหมายตราสามดวง ได้อธิบายไว้ดังนี้ ทาสสินไถ่ หมายถึง ทาสที่มีผู้นำมาขายให้ ต้องทำงานจนกว่าตนเองหรือผู้อื่นมาไถ่ จึงจะหลุดพ้นจากความเป็นทาส ทาสในเรือนเบี้ย ได้แก่ลูกทาสที่เกิดจากผู้ที่เป็นทาส ทาสได้แต่บิดามารดา คือทาสพ่อแม่ยกลูกให้เป็นทาส หรือลูกติดของทาส ทาสท่านให้ หมายถึงทาสที่ผู้หนึ่งยกให้แก่ผู้อื่นทำองยกทรัพย์สินให้ ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ ได้แก่พวกที่พ้นโทษมาแล้ว ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เนื่องจากขัดสนไม่มีทรัพย์สินอยู่เลย จึงสมัครตัวเป็นทาส ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย คือคนที่ยอมตัวเป็นทาสเพราะเกิดวิกฤตทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัย วาตภัย ทำให้เกิดข้าวยากหมากแพง ทาสเชลย หมายถึง ข้าศึกที่ถูกจับมาเป็นทาส
อ่านต่อ |
|







พุทธศาสดา
ธรรมศึกษาวัดสะพานสูง
เพื่อนบ้าน
ธรรมะเดลิเวอรี่
ฟังธรรมดอทคอม
พระสมรักญาณธีโร
พระปิยะโรจน์
jozho.net
พระไตรปิฎก


กระดานข่าว 





|