พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

พรหมชาล สูตรกับการประยุกต์ใช้ในชีวิต 

      พรหมชาลสูตร เป็นพระสูตรแรกในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ถือเป็นพระสูตรที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเหมือนบทนำที่แสดงภาพรวมของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับศีล และทิฏฐิ ๖๒ ประการ

ที่มาและเรื่องเล่า

      เรื่องราวในพรหมชาลสูตรเริ่มต้นขึ้นเมื่อ พระพุทธเจ้า เสด็จพระพุทธดำเนินจากกรุงราชคฤห์ไปยังเมืองนาลันทา ระหว่างทางได้มี สุปปิยปริพาชก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) กับ พรหมทัตตมานพ (ลูกศิษย์ของสุปปิยะ) เดินทางตามมาด้านหลัง

      ในระหว่างทาง สุปปิยปริพาชกได้กล่าวตำหนิพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในขณะที่พรหมทัตตมานพกลับกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยถ้อยคำอันไพเราะ ทั้งสองโต้เถียงกันตลอดทาง

      พระภิกษุรูปหนึ่งได้ยินเรื่องราวการโต้เถียงนี้ จึงนำเรื่องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสดับเรื่องแล้ว พระองค์มิได้ทรงแสดงความโกรธหรือไม่พอใจต่อคำตำหนิ หรือยินดีกับคำสรรเสริญ แต่ทรงตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า

  • เมื่อมีคนกล่าวตำหนิติเตียนพระองค์ พระธรรม หรือพระสงฆ์ ไม่ควรเสียใจ ไม่ควรคับแค้นใจ หรือโกรธแค้น เพราะหากทำเช่นนั้น จิตใจของภิกษุจะเศร้าหมอง จะไม่สามารถรู้แจ้งธรรมได้ ควรพิจารณาว่าสิ่งที่เขากล่าวตำหนินั้นจริงหรือไม่ หากไม่จริง ก็ชี้แจงไปตามความเป็นจริง
  • เมื่อมีคนกล่าวสรรเสริญพระองค์ พระธรรม หรือพระสงฆ์: ไม่ควรดีใจ ไม่ควรปลาบปลื้มใจจนเกินไป เพราะหากทำเช่นนั้น จะทำให้เกิดความยินดี ความทะนงตัว ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม ควรพิจารณาว่าสิ่งที่เขากล่าวสรรเสริญนั้นจริงหรือไม่ หากจริง ก็รับรู้ไว้

     จากนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายถึง ศีล โดยละเอียด ตั้งแต่ จุลศีล (ศีลเล็กน้อย) มัชฌิมศีล (ศีลปานกลาง) และ มหาศีล (ศีลใหญ่) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ และเหล่าพระสาวกที่ปฏิบัติธรรมได้อย่างสมบูรณ์

     ต่อจากเรื่องศีล พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่อง ทิฏฐิ ๖๒ ประการ ซึ่งเป็นความเห็นผิดต่างๆ ที่นักบวชในยุคนั้นยึดถือ โดยทรงจำแนกออกเป็นประเภทต่างๆ อย่างละเอียด และทรงชี้ให้เห็นว่าทิฏฐิเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น และสุดท้ายก็ทรงสรุปว่าพระองค์ทรงล่วงพ้นทิฏฐิเหล่านั้นไปได้หมดแล้ว เพราะทรงรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ และการเกิดดับของสิ่งทั้งปวง

คติธรรม

๑.อุเบกขาธรรม (ความเป็นกลาง) พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงการวางใจเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวไปกับคำตำหนิหรือคำสรรเสริญ สอนให้ภิกษุพิจารณาด้วยปัญญาว่าอะไรคือความจริง ไม่หลงระเริงไปกับคำเยินยอ หรือขุ่นเคืองกับคำติเตียน

๒.ความสำคัญของศีล พระสูตรนี้เน้นย้ำความสำคัญของศีล ว่าเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม เป็นเครื่องชำระกาย วาจา ให้บริสุทธิ์ และเป็นสิ่งที่แยกแยะพุทธบริษัทออกจากนักบวชลัทธิอื่น

๓.การไม่ยึดมั่นในทิฏฐิ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นโทษของการยึดมั่นในทิฏฐิหรือความเห็นผิดต่างๆ ว่าเป็นเครื่องกั้นขวางการเข้าถึงความจริง และความหลุดพ้นจากทุกข์

๔.ปัญญาเพื่อความหลุดพ้น การรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ และการเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสรรพสิ่ง เป็นปัญญาที่ทำให้หลุดพ้นจากทิฏฐิและสังสารวัฏ

๕.การไม่หลงในโลกธรรม ๘ เรื่องราวนี้สะท้อนหลักโลกธรรม ๘ คือ ลาภ-เสื่อมลาภ, ยศ-เสื่อมยศ, สรรเสริญ-นินทา, สุข-ทุกข์ และสอนให้วางใจเป็นกลางต่อสิ่งเหล่านี้

การประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน

๑.การวางใจเป็นกลางต่อคำพูดผู้อื่น ไม่ว่าจะได้รับคำชมหรือคำวิจารณ์ ควรพิจารณาด้วยเหตุผล ไม่หลงดีใจจนเหลิง หรือเสียใจจนฟูมฟายเกินไป ใช้คำวิจารณ์เป็นโอกาสในการปรับปรุงตนเอง และใช้คำชมเป็นกำลังใจแต่ไม่ยึดติด

๒.รักษาศีลและจริยธรรม การปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดีงาม จะทำให้เรามีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ไม่ต้องหวาดระแวง ไม่มีความผิดติดตัว ทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

๓.ไม่ยึดติดกับความคิดเห็น ฝึกเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยึดติดกับความคิดของตนเองมากเกินไป เพราะบางครั้งความคิดเห็นของเราอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด หรืออาจเป็นความเห็นที่ผิดพลาดก็ได้

๔.พัฒนาปัญญา หมั่นศึกษาเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ฝึกสติและปัญญาในการพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้รู้เท่าทันความจริงของชีวิต และไม่หลงไปกับสิ่งลวงตา

๕.ฝึกใจให้สงบ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ใดๆ ทั้งดีและร้าย ควรฝึกจิตใจให้สงบ ไม่ให้ถูกอารมณ์เข้าครอบงำ เพราะเมื่อใจสงบ เราจะสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล

 

สรุป

พรหมชาลสูตรเป็นพระสูตรที่แสดงให้เห็นถึง ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ทั้งทางกาย วาจา ใจ ผ่านการแสดงหลักศีล และการที่พระองค์ทรงรู้แจ้งในสรรพสิ่ง จนสามารถพ้นจากทิฏฐิทั้งปวงได้อย่างสิ้นเชิง

                                                                                                                                                                                                  ปภสฺสโรภิกฺขุ











 

นะโมขลังดอทคอม   

    

 

มองชูชกต่างมุม
ครูแก้ว : เขียน

คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก “ชูชก”และมักจะนำชูชกมาเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละ มักเปรียบเทียบคนที่กินมูมมาม ว่า “ตะกละเหมือนชูชก” นอกจากนี้ชูชกยังเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้าย ใจร้าย ภาพของชายชราที่ฉุดกระชากลากเด็กหญิงเด็กชายสองคน พร้อมทั้งเฆี่ยนตีไปพลางอย่างไม่ปรานีปราศรัย เป็นภาพที่ผู้คนส่วนใหญ่จินตนาการได้ชัดเจน
เรื่อง “มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ชูชก” ของสำนักวัดสังข์กระจาย ได้กล่าวถึงชูชก ไว้ดังนี้
“ยังมีพฤฒาจารย์พราหมณ์ผู้เฒ่า บังเกิดแต่ตระกูลล้วนเหล่ายัญญหุตตภุชงค์ สืบสันดานสัมพันธพงศ์โภวาทิกชาติ เฒ่ามีสันนิวาสเคหฐานอยู่ในคามเขตละแวกบ้านทุนวิฐติดเนื่องกับเมืองกลิงคราษฎร์บุรี ธชีแกเป็นคนจนอัปรีย์ไร้ญาติยิ่งสถุล ทุคคตะแค้นเคืองขุ่นข้องเข็ญใจ ตาแกเที่ยวภิกขาจารไปปานด้วยเพศสกปรก เปรียบด้วยวณิพกยาจกจนจัณฑาล เฒ่าค่อยประสมประสานทรัพย์ไว้ทีละน้อย ได้ถึงร้อยกษาปณ์เป็นลาภตามเข็ญใจ”
มีคำที่แสดงถึงความอัปลักษณ์ ความน่าเกลียด และน่ารังเกียจอยู่หลายคำ เช่น “อัปรีย์ สถุล ทุคคตะ สกปรก วณิพก ยาจก จัณฑาล” และยังมีคำอื่น ๆ ที่มักใช้เรียกขานชูชกในวรรณคดีเรื่องนี้อีกมาก ซึ่งแต่ละคำล้วนแล้วแต่สร้างภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวของชายชราใจร้ายให้เด่นชัดขึ้น เช่น เฒ่าหือรือโหดหีนชาติทาสเมถุน เฒ่าอาธรรม์ เฒ่าจัญไรสันดานหยาบ นอกจากนี้รูปร่างหน้าตาของชูชกยังมีลักษณะที่เรียกว่า “ลักษณะโทษ 18 ประการ” คือ
1. พลังกบาท เท้าทั้งสองข้าง ใหญ่และคด
2. อัทธนขะ เล็บทั้งหมดกุด
3. โอพัทธปิณฑิกะ ปลีน่องทู่ยานลงภายใต้
4. ทีโฆตตโรฏฐะ ริมฝีปากบนยาวปิดริมฝีปากล่าง
5. จปละ น้ำลายไหลออกเป็นยางยืดทั้งสองข้างแก้ม
6. กฬาระ เขี้ยวงอกพ้นปากเหมือนเขี้ยวหมู
7. ภัคคนาสกะ จมูกหักฟุบดูน่าชัง
8. ภัคคปิฏฐิ สันหลัง ไหล่ หักค่อมคด โกง
9. กุมโภทร ท้องป่องพลุ้ยเป็นกระเปาะเหมือนหม้อใหญ่
10. วิสมจักขุ ตาถล่มลึกทรลักษณ์ ข้างหนึ่งเล็ก ข้างหนึ่งใหญ่ไม่เสมอกัน
11. โลหมัสสุ หนวดเครามีพรรณดังลวดทองแดง
12. หริตเกส ผมโหรงเหลืองดังสีลาน
13. วลินะ ตามตัวเต็มไปด้วยเส้นเอ็นนูนเกะกะ
14. ติลกาหตะ มีต่อมแมลงวันและตกกระเหมือนโรยงา
15. ปิงคละ ตาเหลือก เหล่ เหลือง ดังตาแมว
16. วินะตะ ร่างกายคดค่อมในที่ทั้งสาม คือ คอ หลัง และ สะเอว
17. วิกฏะ เท้าทั้งคู่เหหันห่างเกะกะ
18. พรหาขระ ขนตามตัวหยาบเหมือนแปรงหมู
ลักษณะโทษทั้ง 18 ประการของชูชกนี้ ยิ่งทำให้เห็นภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวของชูชกได้ชัดเจนขึ้น คงไม่มีใครอยากให้คนพิกลพิการรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวราวกับภูติผีปีศาจอย่างนี้เป็นแน่ และด้วยพฤติกรรมที่แสดงต่อพระชาลีและพระกัณหาซึ่งเป็นพระโอรสและพระธิดาของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี ก็ยิ่งเพิ่มความอัปลักษณ์และโหดร้ายของชูชกให้มากยิ่งขึ้น นี่คือการมองชูชกในแง่ที่คนส่วนใหญ่มอง ในที่นี้ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนให้ผู้อ่านลองมามองชูชกต่าง
รูปร่างอันพิกลพิการซึ่งมีหลัง ไหล่ คอ ขา ค้อม คด โก่ง เก ไม่สามารถยืดเหมือนคนปรกติธรรมดาได้ กับทั้งส่วนอื่น ๆ ที่มีลักษณะอัปลักษณ์ของชูชก เป็นเรื่องของ “คนเราเลือกเกิดไม่ได้” คนพิกลพิการไม่ว่าไปที่ไหน เข้าใกล้ใคร ก็มักถูกเมินหน้าหนี ถูกรังเกียจ ไม่อยากให้เข้าใกล้ ถ้าคนเรามีร่างกายทุกส่วนโค้ง ค้อม คด โก่ง เกแบบนี้ อย่าว่าแต่จะทำงานทำการอะไรเลย แม้จะพยุงตัวเองให้ทรงอยู่ก็ลำบากเสียเหลือเกิน แต่ชูชกไม่เคยทำตัวเป็นภาระให้คนอื่นเลี้ยง สู้อุตส่าห์ประกอบอาชีพที่พอจะทำได้ คือขอทาน ชูชกขอทานไปตามประสาคนพิกลพิการ ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร และคนที่ให้ก็ดูยินดีที่จะหยิบยื่นให้ อาจเพราะสงสารหรือเพราะรังเกียจจึงรีบให้ หรือเพื่อจะได้ไปให้พ้น ๆ ตัว หรือจะเป็นเพราะอะไรก็แล้วแต่ ชูชกก็ประกอบสัมมาชีพเลี้ยงชีวิตของตนมาโดยตลอด ดังปรากฏในข้อความที่กล่าวถึงความมานะพยายามในการทำมาหากินของชูชกว่า
“เฒ่าก็เที่ยวพยายามภิกขาขอ เข้าที่ไหนก็ได้ ได้เท่าใดก็ไม่พอผ่อนผันว่าที่จะกลับไป ๆ ก็จนลี้ลับล่วงกำหนดเกิน ยิ่งเที่ยวมันยิ่งได้ ยิ่งไปมันยิ่งเพลินเกินกำหนดแล้วไม่กลับมา”
ข้อความดังกล่าว อาจจะมองได้สองแง่ คือ แง่ที่ ๑ แสดงให้ถึงความโลภ ความไม่รู้จักพอของชูชก คนพิการอย่างชูชก ตัวคนเดียว ไม่มีลูกหลานญาติพี่น้อง จะโลภมากอยากได้เงินไปทำไมนักหนา คนให้ก็ใจดีเหลือเกิน แม้ว่าอาจจะให้เพราะความรำคาญ แต่เป็นความรำคาญที่ยิ่งช่วยสนองกิเลศของชูชกให้มากขึ้น ๆ หรือไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ “เข้าที่ไหนก็ได้ ได้เท่าใดก็ไม่พอ” ชูชกจึงเพลิดเพลินกับอาชีพขอทานของตน เพราะ “ยิ่งเที่ยวมันยิ่งได้ ยิ่งไปมันยิ่งเพลิน” เสมือนว่าคนทั้งหลายได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมคนขอทานให้ประกอบอาชีพนี้ตลอดไปอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
แต่ในบทความนี้ ผู้เขียนพยายามมองชูชกในอีกแง่หนึ่ง คือ แง่ที่ ๒ มองด้วยความชื่นชมในความขยันขันแข็ง รู้จักทำมาหากินตามความสามารถที่ตนทำได้ ได้มาแล้วก็ รู้จักเก็บหอมรอมริบ ชูชกสามารถเก็บสะสมเงินที่ขอทานเขามาได้ถึง 100 กษาปณ์” ได้ปฏิบัติตามคำบาลีที่ว่า “อารักขาสัมปทา” คือหาทรัพย์มาได้แล้วก็ต้องรักษา จึงนำเงินไปฝากพราหมณ์ผู้เป็นเพื่อนไว้แล้วถูกโกง ชูชกโง่หรือฉลาดที่ทำอย่างนั้น
การมองชูชกต่างไปจากมุมมองที่คนทั่วไปมองนั้น ทำให้นึกถึงคำกล่าวของท่านพุทธทาสที่กล่าวเอาไว้ว่า “เขาจะชั่วเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่” ผู้เขียนจะพูดถึงชูชกในมุมมองของผู้เขียนอีก ขอเชิญติดตามในบทต่อ ๆ ไป

อ่านต่อ


 

 พุทธศาสดา

ธรรมศึกษาวัดสะพานสูง

 เพื่อนบ้าน

 ธรรมะเดลิเวอรี่

 ฟังธรรมดอทคอม

 พระสมรัก  ญาณธีโร

 พระปิยะโรจน์

  jozho.net 

 

  กระดานข่าว   

 

    Copyright (c) 2009 by Namokhlang.com

 

Powered by AIWEB